วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กาพย์เห่เรือ


วันภาษาไทยแห่งชาติ 29 กรกฎาคม


ความเป็นมา

 

คณะกรรมการรณรงค์เพื่อภาษาไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ตระหนักในคุณค่าและความสำคัญของภาษาไทย และมีความห่วงใยในปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่อภาษาไทย และเพื่อกระตุ้นและปลุกจิตสำนึกให้คนไทยทั้งชาติได้ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของภาษาไทย ตลอดจนร่วมมือกันทำนุบำรุง ส่งเสริม และอนุรักษ์ภาษาไทยให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป จึงได้เสนอขอให้รัฐบาลประกาศให้วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ เช่นเดียวกับวันสำคัญอื่นๆ ที่รัฐบาลได้จัดให้มีมาก่อนแล้ว เช่น วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ” และวันสื่อสารแห่งชาติ” เป็นต้น และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันอังคารที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๔๒ เห็นชอบให้วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ของทุกปีเป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ

เหตุผล

 

ประเทศไทยมีภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติ อันเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของชาติ สมควรจะได้รับการทำนุบำรุงส่งเสริม และอนุรักษ์ไว้ให้ยั่งยืนตลอดไป

ทั้งนี้ในยุคปัจจุบันวิชาการและเทคโนโลยีต่างๆ ได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วเกิดเทคนิคใหม่ๆ ในการติดต่อสื่อสาร มี่มุ่งเน้นความสะดวกรวดเร็ว ส่งผลให้ภาษาไทยซึ่งเป็นสื่อกลางสำคัญในการติดต่อและผูกพันต่อการดำรงชีวิตประจำวันของคนไทยได้รับผลกระทบ ทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน ทำให้ภาษาไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างน่าวิตกเป็นอย่างยิ่ง สภาพการณ์เช่นนี้หากไม่เร่งรีบหาทางแก้ไขและป้องกันเสียแต่เนิ่นๆ การใช้ภาษาไทยของเราก็จะยิ่งเสื่อมลง จะส่งผลเสียหายต่อเอกลักษณ์และคุณค่าของภาษาไทยเป็นทวีคูณ

ทำไมจึงได้กำหนดให้วันที่ ๒๙ กรกฎาคม เป็น วันภาษาไทยแห่งชาติ” 

 

เพราะวันดังกล่าว ตรงกับวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปเป็นประธานและทรงร่วมอภิปรายในการประชุมทางวิชาการของชุมนุมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ห้องประชุมคณะอักษรศาสตร์ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๐๕ ทรงเปิดการอภิปรายในหัวข้อ ปัญหาการใช้คำไทย” ทรงดำเนินการอภิปรายและทรงสรุปการอภิปรายอย่างดีเยี่ยม แสดงถึงพระปรีชาสามารถและความสนพระราชหฤทัยและความห่วงใยในภาษาไทย เป็นที่ประทับใจผู้เข้าร่วมการประชุมในครั้งนั้นเป็นอย่างยิ่ง นับเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ของวงการภาษาไทย ที่ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว และในโอกาสต่อๆ มาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังได้ทรงแสดงความสนพระราชหฤทัยและความห่วงใยในภาษาไทยอีกหลายโอกาส เช่น ได้พระราชทานพระราชดำรัสเกี่ยวกับปัญหาในการใช้ภาษาไทยของประชาชนชาวไทยในปัจจุบัน ในวโรกาสที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชการและองค์กรเอกชนเข้าเฝ้าถวายชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พุทธศักราช ๒๕๓๕ นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงย้ำให้ประชาชนชาวไทยตระหนักถึงความสำคัญของภาษาไทยและพระราชทานแนวความคิดในการอนุรักษ์ภาษาไทยในโอกาสต่างๆ อยู่เสมอ ที่สำคัญยิ่งกว่านี้ คือ เป็นที่ประจักษ์ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระปรีชาญาณและพระอัจฉริยภาพในการใช้ภาษาไทยทรงรอบรู้ปราดเปรื่องถึงรากศัพท์ของคำไทย คือ ภาษาบาลีและสันสกฤต ทรงพระอุตสาหะวิริยะแปลและเรียบเรียงวรรณกรรมภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทยที่สมบูรณ์ด้วยลักษณะวรรณศิลป์ มีเนื้อหาสาระที่มีคุณค่าเป็นคติในการเสียสละเพื่อส่วนรวม และเป็นแบบอย่างแก่ประชาชนในการใช้ภาษาไทย ดังจะเห็นได้จากพระราชนิพนธ์แปลเรื่องนายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ ติโต พระราชนิพนธ์แปลบทความเรื่องสั้นๆ หลายบท และพระราชนิพนธ์ เรื่อง พระมหาชนก นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมที่สุดมิได้แก่วงการ

วัตถุประสงค์

 

.   เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงเป็นนักปราชญ์ และนักภาษาไทย รวมทั้งเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ได้ทรงแสดงความห่วงใยและพระราชทานแนวคิดต่างๆ เกี่ยวกับการใช้ภาษาไทย
.   เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒
.   เพื่อกระตุ้นและปลุกจิตสำนึกของคนไทยทั้งชาติให้ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของภาษาไทย ตลอดจนร่วมมือร่วมใจกันทำนุบำรุงส่งเสริม และอนุรักษ์ภาษาไทย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์และเป็นสมบัติวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป
.   เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการใช้ภาษาไทย ทั้งในวงวิชาการและวิชาชีพ รวมทั้งเพื่อยกมาตรฐานการเรียนการสอนภาษาไทยในสถานศึกษาทุกระดับให้มีสัมฤทธิผลยิ่งขึ้น
.   เพื่อเปิดโอกาสให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาลและเอกชนทั่วประเทศมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อเผยแพร่ความรู้ภาษาไทยในรูปแบบต่างๆ ไปสู่สาธารณชนทั้งในฐานะที่เป็นภาษาประจำชาติ และในฐานะที่เป็นภาษาเพื่อการสื่อสารของทุกคนในชาติ

ประโยชน์ที่ได้รับจากการมี “ วันภาษาไทยแห่งชาติ 

คาดว่าจะมีผลดีสืบเนื่องหลายประการ คือ
.   การมี วันภาษาไทยแห่งชาติ” จะทำให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาลและเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานในกระทรวงศึกษาธิการ และทบวงมหาวิทยาลัย ตระหนักในความสำคัญของภาษาไทย และร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นเตือน เผยแพร่ และเน้นย้ำให้ประชาชนเห็นความสำคัญของ ภาษาประจำชาติ” ของคนไทยทุกคน และร่วมมือกันอนุรักษ์การใช้ภาษาไทยให้มีความถูกต้องงดงามอยู่เสมอ
.   บุคคลในวงวิชาชีพต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาไทย โดยเฉพาะในวงการศึกษา และวงการสื่อสาร ช่วยกันกวดขันดูแลให้การใช้ภาษาไทยเป็นไปอย่างถูกต้อง เหมาะสม มิให้ผันแปรเปลี่ยนแปลง จนเกิดความเสียหายแก่คุณลักษณะของภาษาไทยอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ
.   ผลสืบเนื่องในระยะยาว คาดว่าปวงชนชาวไทยทั่วประเทศจะตื่นตัวและสนใจที่จะร่วมกันฟื้นฟู ทำนุบำรุง ส่งเสริมและอนุรักษ์ภาษาไทย อันเป็นเอกลักษณ์และสมบัติวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติให้ดำรงคงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป

กิจกรรม

 

เชิญชวนให้สถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ และเอกชน จัดกิจกรรมเนื่องใน วันภาษาไทยแห่งชาติ” ในวันภาษาไทยแห่งชาติ โดยจัด ในวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ของทุกปี โดยมีกิจกรรมต่าง ๆ เช่นการจัดนิทรรศการการอภิปรายทางวิชาการการประกวดแต่งคำประพันธ์ ร้อยแก้ว ร้อยกรอง การขับเสภา การเล่านิทาน ฯลฯ,




วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ความสุขยิ่งกว่าการให้


ชายหนุ่มคนหนึ่งมีชีวิตที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
หน้าตาหล่อเหลา มีการศึกษาสูง มีงานการที่มั่นคง มีความก้าวหน้า
ในอนาคต มีคนรักใคร่รอบข้าง เรียกว่าใครเห็นใครรู้เป็นต้องอิจฉา
วันหนึ่งชีวิตที่สมบูรณ์แบบของชายคนนี้ยิ่งสุดยอด สมบูรณ์แบบ
มากขึ้น เมื่อพี่ของเขายอมควักเงินก้อนโตซื้อรถสปอร์ตคนงามเป็น
ของขวัญให้กับน้องชาย…ไม่ต้องบอกว่าเจ้าตัวจะยินดีปรีดาแค่ไหน
เพราะรถสปอร์ตสุดหรูคันนี้ ชายหนุ่มนายนี้ฝันอยากได้
เป็นเจ้าของมาตลอดชีวิต
เมื่อความฝันเป็นจริง สิ่งที่ชายหนุ่มคิดทำอย่างแรกคือ
ขับเจ้ารถสปอร์ตตระเวนไปตามที่ต่างๆให้สมอยาก
ใจหนึ่งต้องการทดสอบแรงม้าที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องเครื่อง
ว่าจะมีเรี่ยวแรงเต็มกำลังแค่ไหน
อีกใจก็แน่นอนว่า ใครที่มีรถสวยแรงขนาดนี้คงไม่บ้าเก็บเอาไว้ดู
ตามลำพังที่โรงรถในบ้าน
ขับโฉบเฉี่ยวไปมาสักพัก ก็ถึงเวลาพักทั้งเครื่องและคน
ชายหนุ่มจัดแจงจอดรถข้างถนน………..
ระหว่างกำลังพักผ่อนอิริยาบถ เขาเห็นเด็กคนหนึ่งเดินลูบๆคลำๆ
รอบรถคันงามด้วยกิริยาท่าทีชื่นชอบรถสปอร์ตอย่างเห็นได้ชัด
ชายหนุ่มรู้สึกภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าของสิ่งที่หลายต่อหลายคนใฝ่ฝัน
เขาเดินยืดอกมาที่รถ พร้อมพูดจาทักทายเด็กคนนั้นด้วยน้ำเสียง
มั่นใจ ดั่งขุนศึกผู้ชนะสงคราม
“ระวังหน่อยน้อง เดี๋ยวเป็นรอย” เขาบอก
เด็กคนนั้นมองไปยังชายหนุ่มเจ้าของเสียง ก่อนจะพูดตอบ
“รถของพี่เหรอ สุดยอดจริงๆ”
“แน่นอน” เขาตอบ
“พี่ซื้อมาราคาเท่าไหร่” เด็กคนเดิมถาม
“คนอื่นอาจต้องควักสตางค์ซื้อเอง แต่พี่ไม่ต้อง เพราะพี่ชายพี่ซื้อให้ เป็นของขวัญ”
“โอ้โห! ดีจัง ผมอยาก….” เด็กคนเดิมพูดตะกุกตะกักชะงักในตอนท้าย
ชายหนุ่มคิดในใจว่า เด็กคนนี้คงไม่กล้าพูดต่อ
เพราะที่เด็กอยากจะพูดแต่ยั้งปากยั้งคำไว้นั้น คงต้องการบอกว่า
อิจฉาตัวเขาเอง อยากจะเป็นอย่างเขาบ้าง…
มีพี่ที่แสนดีซื้อรถสุดหรูให้เป็นของขวัญ…
แต่สิ่งที่ชายหนุ่มคิดกลับผิดถนัด
“โอ้โห ดีจัง ผมอยาก….เป็นอย่างพี่ชายของพี่จัง” เด็กคนนั้นพูด
“ผมจะได้ซื้อรถให้น้องชายผมนั่งบ้าง”
ชายหนุ่มถึงกับอึ้ง
ในสังคมทุกวันนี้ที่ใครๆ ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะรับ
หรือบางคนไม่ยอมรอ
ใช้กำลังความได้เปรียบแย่งชิงของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง
แต่เด็กคนนี้กลับคิดสวนทางใครๆ …เขาอยากเป็นผู้ให้
มากกว่าเป็นผู้รับ…
ชายหนุ่มมองเด็กด้วยความรู้สึกทึ่งและพูดออกมาทันทีว่า
“อยากนั่งรถเล่นกับฉันไหม”
“ครับ อยากมากเลย”
หลังจากขับรถเล่นอยู่พักหนึ่ง เด็กชายหันมาพูดด้วยดวงตาวาวแวว
“คุณจะกรุณาขับรถไปหน้าบ้านผมได้ไหมครับ”
ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ เขาคิดว่าเขารู้ดีว่าเด็กหนุ่มต้องการอะไร
เขาคงต้องการให้เพื่อนบ้านเห็นว่าเขาได้นั่งรถคันโตกลับบ้าน ……
แต่ชายหนุ่มคิดผิดอีกแล้ว ……
“คุณจอดตรงบันไดนั่นล่ะครับ” เขาวิ่งขึ้นบันได
จากนั้นสักครู่จึงกลับมา………แต่เขาไม่ได้วิ่ง
เขาอุ้มน้องตัวเล็กๆที่ขาพิการมาด้วย และวางน้องลงที่บันไดล่าง
กอดไว้และชี้ไปที่รถ
“นั่นไง บัดดี้ รถคันที่พี่เล่าให้ฟังพี่ชายของเขาซื้อให้เป็นของขวัญ
เขาไม่ต้องเสียตังค์เลย
สักวันหนึ่งพี่จะซื้อให้น้องบ้าง น้องจะได้ดูของสวยๆงามๆด้วยตา
ของน้องเองเหมือนที่พี่เคยเล่าให้ฟัง”
ชายหนุ่มลงจากรถ แล้วอุ้มเด็กน้อยขึ้นรถ
พี่ชายปีนตามขึ้นมานั่งใกล้
และแล้วทั้งสามก็เริ่มออกเดินทาง ชายหนุ่มรู้แล้วว่า
“ความสุขยิ่งกว่าการให้” หมายถึงอะไร ………..


พระคุณที่สาม


ครูบาอาจารย์ที่ท่านประทานความรู้มาให้ 
อบรมจิตใจให้รู้ผิดชอบชั่วดี 
ก่อนจะนอนสวดมนต์อ้อนวอนทุกที 
ขอกุศลบุญบารมีส่งเสริมครูนี้ให้ร่มเย็น 
ครูมีบุญคุณจึงขอเทิดทูนเอาไว้เหนือเกล้า 
ท่านสั่งสอนเราอบรมให้เราไม่เว้น 
ท่านอุทิศไม่คิดถึงความยากเย็น 
สอนจนรู้จัดเจนเฝ้าเน้นเฝ้าแนะมิได้อำพราง 
พระคุณที่สามงดงามแจ่มใส 
แต่ว่าใครหนอใครเปรียบเปรยครูไว้ว่าเป็นเรือจ้าง 
พลาดจากความจริงยิ่งคิดยิ่งเห็นว่าผิดทาง 
มีใครไหนบ้างแนะนำแนวทางอย่างครู 
บุญเคยทำมาแต่ปางใดๆเรายกให้ท่าน 
ตั้งใจกราบกรานระลึกคุณท่านกตัญญู 
โรคและภัยอย่าได้แผ้วพานคุณครู 
ขอกุศลผลบุญค้ำชูให้ครูเป็นสุขชั่วนิรันดร 
(ให้ครูเป็นสุขชั่วนิรันดร) 

สดุดีสุนทรภู่

สดุดีกวีกลอนสุนทรภู่
ท่านผู้อยู่คู่กลอนสุนทรสยาม
ประพันธ์แต่งเรื่องราวเลื่องลือนาม
ทั่วเขตคามทุกสกลยลชื่นชม

           สดุดีกวีท่านประพันธ์พริ้ง
           งามทุกสิ่งบทละครกลอนเหมาะสม
           ทั้งเพลงยาวทรงคุณค่าน่านิยม
           นิราศคม ควรค่า ภาษาไทย
สดุดีกวีกลอนสุนทรสยาม
เลื่องลือนามมาทุกยุคทุกสมัย
แม้นเวลาผันผ่านนานเพียงใด
ชนชาวไทยยังเล่าขานตำนานกวี
           ยี่สิบหก มิถุนา มาบรรจบ
           เวียนมาครบประสบฤกษ์ไกรเกริกศรี
          ทุกอาณาทั่วผืนฟ้าทั้งธานี
           สดุดีกวีกลอนสุนทรไทย

กำลังใจดีดีให้ตัวเอง


.. ไม่มีใครเกิดมาไร้ค่า
แม้แต่คนโง่ที่สุดยังฉลาดในบางเรื่อง
และคนฉลาดที่สุด
ก็ยังโง่ในหลายเรื่อง ..
.. ไม่มีอะไรเสียเวลาไปมากกว่า
การคิดที่จะย้อนกลับไปแก้ไขอดีต
ไม่เคยมีอะไรช้าเกินไป
ที่จะทำใหสิ่งที่ตนฝัน ..
.. คนที่ไม่เคยหิว
ย่อมไม่ซาบซึ้งรสของความอิ่ม
ความสำเร็จที่ผ่านความล้มเหลว
ย่อมหอมหวานกว่าเดิม ..
.. อันตรายที่สุดของชีวิตคนเราคือ การคาดหวัง
อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
เหตุผลขอคนๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่เหตุผลของคน
อีกคนนึง ถ้าคุณไม่ลองก้าว คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า
ทางข้างหน้าเป็นอย่างไร
ปัญหาทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป
หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง ..
.. คนเรา
ไม่ต้องเก่งไปทุกอย่าง
แต่จงสนุกกับงานทุกชิ้น
ที่ได้ทำ ..
หัวใจของการเดินทางไม่ได้อยู่ที่จุดหมาย
หากอยู่ที่ประสบการณ์สองข้างทาง .. มากกว่า

ฉ่อย เรื่องภาษาไทย


สิ่งที่ดีที่สุด


สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเรา...คือชีวิตเรา
สิ่งที่มีค่าที่สุดในใจเรา...คือหัวใจเรา
อย่าเอาชีวิตทั้งชีวิตไปยกให้ใคร
อย่าเอาใจทั้งใจไปยกให้ใครคนเดียว
อย่ายกสิ่งที่มีค่าที่สุดและดีที่สุดของเราไปให้ใครดูแล
เพราะไม่มีใคร...ที่จะดูแลมันได้ดีไปกว่าตัวเราเอง
อย่าปิดกั้นความรู้สึกของหัวใจ
อย่าบอกว่าเกิดมาเพื่อรักคนๆเดียว
คนใจแคบเท่านั้น...ที่เกิดมาเพื่อรักคนได้คนเดียว
เราสามารถรักใครต่อใครได้มากมาย
ขอเพียงให้รู้จักหน้าที่ของความรัก
หน้าที่ที่จะปฏิบัติต่อคนที่เรารัก
รักต่างแบบ...ปฏิบัติในหน้าที่ที่ต่างกัน
แล้วเมื่อวันใดวันหนึ่ง...
คนบางคนไม่แยแสกับความรักที่เรามีให้
เราก็ยังคงเหลือใครต่อใครอีกมากมาย...
และไม่เห็นต้องเจ็บเจียนตาย...
ถ้าเรามั่นใจ...ว่าเราทำหน้าที่ให้รักนั้น เต็มที่แล้ว
อากาศ...ร้อนอบอ้าว
ออกมายืนคุยกับแสงแดด
อากาศ...หนาวขาดใจ
ออกมาหาไออุ่นลมหนาว
เราจะรู้ว่าร้อนหรือหนาว...ก็ต่อเมื่อเราได้สัมผัสกับมัน
ก็เหมือนความรัก...อยากรู้ว่ารสชาติเป็นยังไง
ก็ต้องไปลองสัมผัสกับมัน...อย่าทรมานตัวเอง
อย่ายืนตากแดดนานๆ หรือยืนต้านทานลมหนาว
ถ้ารู้ว่าร้อนนัก...ก็หลบที่ร่ม
ถ้ารู้ว่าหนาวนัก...ก็ก่อเตาผิง
ความรักจะไม่ทำร้ายเรา...ถ้าเราไม่ทำร้ายตัวเอง
ถ้าเธอรู้จักรัก...แสงแดดจะทำให้อบอุ่น
ลมหนาวจะทำให้เธอหลับสบาย



รอยจูบบนฝ่าเท้า


โดย      ภัทราพร            บุญชู

                                                    
 เมื่อครั้งเยาว์วัยใครขับกล่อมเจ้าบรรจงจูบเบาๆ ตรงฝ่าเท้าน้อยๆ
 เฝ้าเลี้ยงดูแลตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย เทใจเฝ้าคอย วันที่เจ้าเติบโต
จะเป็นอย่างไรเมื่อเจ้าเติบใหญ่ขึ้นมา ดีชั่วเก่งกล้ามีการศึกษาสวยโก้
 ลืมตัวโบยบินเมื่อมั่งมีใหญ่โต โอหัง ยโส คุยโวโอ้อวดดี..
จะเป็นอย่างไร ใครก็ไม่อาจห้ามเจ้า พอเพื่อนหนุ่มสาวผู้ได้ฟังเพลงนี้
ก้มลงมองตรงฝ่าเท้าก่อนคิดจะทำชั่วดีสองตีน ของเจ้านี้ แหละที่พ่อแม่เคยจูบมัน
            ยังจำได้ไหมใครเคยพร่ำสอน ยามเจ้าจะนอน ใครกล่อมให้หลับฝัน
ใครคอยห่วงใยเจ้าได้ทุกวี่วัน ใครคนร้าวราน เมื่อเจ้านั้นเสียน้ำตา
เจ้าเป็นเด็กดี พ่อแม่ก็ภูมิใจ ถ้าเจ้าเป็นผู้ร้ายคงไม่มีใครปรารถนา
รอยจูบบนฝ่าเท้า...... เพราะรักเจ้าเกินกว่าฟ้า.... แล้วสิ่งใดเล่าหนาเจ้าจะหา มาตอบแทน
            หลายๆคนอาจเคยฟังเพลงรอยจูบบนฝ่าเท้า มาแล้ว เป็นเพลงที่ หลง ลงลาย ประพันธ์ขึ้น  แต่อีกหลายๆคนได้แต่ฟังผ่านไปโดยไม่คิดอะไร แต่อีกหลายๆคนได้ฟังแล้วก็คิดตาม
            กว่าบุคคลที่เราเรียกว่าแม่ทนลำบากเพื่อเรามาโดยตลอด เมื่อตั้งครรภ์กว่าจะครบ 9 เดือน ไม่ว่าจะทำอะไร แม่ก็ระมัดระวังท้องอยู่เสมอ กลัวว่าจะลูกในท้องจะได้รับการกระทบกระเทือน จนคลอดเราออกมาลืมตาดูโลก บุคคลที่เราเรียกว่าพ่อและแม่นั้นก็ขับกล่อมเรา จูบเท้าเราเบาๆบนฝ่าเท้าน้อยๆที่แสนอันอบอุ่นและก็เลี้ยงดูเป็นอย่างดีจนเติบโตขึ้นมา ไม่ว่าเราต้องการอะไร ต้องการสิ่งไหน พ่อกับแม่ก็หามาให้ได้ทั้งหมด แม้สิ่งๆนั้นจะแลกด้วยหยาดเหงื่อหรือน้ำตาก็ตาม ท่านทั้งสองก็ยอมทำเพื่อเรา แต่ในทางกลับกันทำไมเมื่อเราได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อแม่หามาให้แล้ว เรากลับกลายเป็นคนที่ไม่รู้จักพอ กลับทำตัวเป็นคนไม่ดี ตามเพื่อน ในสิ่งที่พ่อกับแม่ห้ามเรากลับทำ แต่ในสิ่งที่พ่อแม่ให้ทำ เรากลับไม่ทำ พ่อแม่ตั้งกรอบให้เรา แต่เรากลับออกนอกกรอบไม่เคยฟังสิ่งที่ท่านเคยเตือน เคยสั่งสอนเรา เราเอาความคิดตัวเองเป็นหลัก จนเราหลงไปในทางที่ผิด หลงไปเสพยาเสพติดจนทำให้ชีวิตคนหนึ่งคนที่เกิดมาใช้ชีวิตในโลกใบนี้ต้องพังทลายยังเหลือแต่คนสองคนที่ต้องเสียใจ ต้องมีน้ำตา ที่ต้องสูญเสียลูกไป
            แต่ถ้าเราพร้อมที่จะยอมรับความผิด ยอมรับในสิ่งที่เกิด ยอมรับความจริงนั้นแล้วกลัวตัวกลับใจได้ คงไม่มีพ่อแม่คนไหนหรอกที่ไม่ให้อภัยลูก พ่อแม่ย่อมให้อภัยลูกเสมอ ไม่ว่าลูกจะทำผิดมาแล้วกี่ครั้ง พ่อแม่ก็ไม่เคยโกรธเรา ดังนั้นก่อนที่เราจะทำอะไร จะผิดหรือถูก เราควร คิด ก่อนที่จะทำสิ่งๆนั้น ควรนึกถึงใจของพ่อแม่บ้างที่เมื่อตอนเล็กๆท่านเคยสั่งสอน อบรมเรา ขับกล่อมเรา เคยจูบฝ่าเท้าของเรา ก่อนที่เราจะนอนทุกครั้ง คอยเป็นห่วงเราอยู่ทุกวัน และคงไม่มีบุคคลคนไหนหรอกนอกจากบุคคลสองคนนั้นที่รักเราเท่ากับชีวิต ไม่สามารถหาสิ่งไหนมาตอบแทนได้ เท่ากับความรัก ความอบอุ่น ที่มีต่อเรา แม้แต่สิ่งของ เงินทอง ก็ยังเป็นของนอกกายจะหาเมื่อไหร่ก็ได้ ยังมาเปรียบไม่ได้แต่ จิตใจ” คนต่างหาก อยู่ข้างในไม่สามารถมองเห็น ถ้าจะมองเห็นก็จะเห็นที่การกระทำ ว่าสิ่งที่ทำออกมานั้นดีหรือไม่ดี
           

            คนบางคน อาจหลงลืมไปว่า...ตัวเองเกิดมาได้เพราะใคร..?
            คนบางคน ใช้คำว่า โตแล้ว เป็นข้ออ้างเพื่อ ละเลย ความห่วงใยของ ใครบางคน...
            คนบางคน ใช้คำว่า โตแล้ว เพื่อลบเลือน คำสอน ของใครบางคน
            แต่...เค้าคนนั้น คงลืมไปว่า เค้า "โต" มาได้เพราะใคร..?
                                   









บาดแผลแห่ง..วันเวลา





เมื่อความฝัน และ..ความหวัง
ที่เคยร่วมสร้าง..กันมา
ถูกพราก..จากไป ด้วยคำว่า..ลา
ในใจที่..ไม่จริงจัง
ซึ่งอีกคน ที่อยู่กับสิ่ง..ที่ทิ้ง..เอาไว้
เบื้องหลัง..ความขมขื่น..ตามลำพัง
สุดแสนสาหัส..กว่าจะหลุดพ้น
ต้องนับ..กี่หยดน้ำตา ก็ไม่สามารถ..ประมาณได้


ซึ่งบาดแผลภายนอก..ทุกอย่างในโลก..ใบนี้
กาลเวลา..ก็คงทำหน้าที่..ของมัน
ได้อย่าง..สมบูรณ์แบบ


หากแต่..แผลในใจ แม้เพียง..จะน้อย
แม้เพียง..จะเล็ก..แต่มันเจ็บ..และ..จำลึก
คงไม่มี..สิ่งไหน จะมารักษา แผลในใจ..ของเรา
ได้ดีไปกว่า..ใจ..ของ..เรา..เอง


เมื่อแรก..เริ่มรัก ก็ต้องใช้..ใจสัมผัส
เมื่อรัก..จากไป..ก็คงต้องใช้ใจ..ล้างใจ

วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555

มองชีวิตในแต่ละวัน ให้เหมือนวันสุดท้ายของชีวิต


ในเช้าวันหนึ่ง ขณะที่กำลังขับรถเพื่อจะไปทำงานตามปกติ เหมือนเช่นเคย ระหว่างที่ขับรถอยู่นั้น ได้เห็นรถเก๋งคันหนึ่ง กำลังพยายามขับแซรถซาเล้งที่อยู่ด้านหน้า ซึ่งมีลุงแก่ๆ และเด็กตัวเล็กๆ นั่งอยู่ ที่กำลังพยายามปั่นอย่างเต็มกำลังเพื่อหาที่หลบให้พ้น ขณะที่คนขับรถคันนั้นมีลักษณะการขับที่เต็มไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด บีบแตรไล่ดังลั่น
พยามที่จะขับแซงแต่ก็ไม่สามารถไปได้ เพราะมีรถสวนมาตลอดเวลา ยิ่งที่ทำให้เขาโกรธมากขึ้น แต่ท้ายที่สุดก็สามารถขับรถปาด
หน้ารถซาเล้งไปได้ พร้อมกับบีบแตรเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ลักษณะการขับรถเป็นการขับกระชากรถอย่างแรง และรวดเร็ว เสียงล้อบดถนนดังลั่นโดยเขาไม่สนใจว่าจะมีรถในฝั่งตรงข้ามวิ่งสวนมาหรือไม่ สร้างความตื่นตระหนกแก่ผู้พบเห็นที่กำลังจับจ่าย
ซื้อของทั้งสองข้างทาง ขณะเดียวกันรถจักรยานยนต์ที่วิ่งสวนมา ต้องขับรถลงไหล่ทางอย่างกะทันหันเพื่อหลบให้พ้นจากรัศมีของรถคันนั้น พร้อมกับตะโกนด่าตามหลังด้วยความโกรธ และตกใจ
หลังจากเหตุการณ์นั้น ผมก็เกิดความสงสัยว่า “ทำไมคนขับรถถึงแสดงพฤติกรรมอย่างนั้นออกมา เขามีธุระเร่งด่วน และสำคัญมากกว่าชีวิตของคนๆ หนึ่ง ขนาดนั้นเชียวหรือ ?” ถึงแม้ว่าคุณลุง อาจจะมีฐานะทางสังคมดูด้อยกว่าคนอื่นที่ไม่มีรถขับ ไม่มีอาชีพที่เชิดหน้าชูตาเหมือนกับคนอื่น ต้องเก็บขยะ เพื่อหาเลี้ยงชีพตัวเองด้วยความสุจริต ทำไมเขาจึงทำเหมือนกับว่าชีวิตของคุณลุง และเด็กน้อยตัวเล็กๆ มีค่าน้อยกว่าตัวเขา! 
ผมมีความคิดว่าคนเราทุกคนไม่ว่าจะ มีอาชีพ , มีฐานะ , หรือ มีการศึกษาที่แตกต่างกัน แต่ในความเป็นจริงของชีวิต ทุกคนย่อมมี
คุณค่าในความเป็นมนุษย์ที่สามารถจะอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างเท่าเทียมกัน และที่สำคัญ คนเราหามีความแตกต่างกันในความ
เป็นจริงของชีวิตไม่ มนุษย์ทุกคนต้องกิน ต้องอยู่ ต้องหายใจ ต้องสืบเผ่าพันธุ์ของตน ต้องการให้คนอื่นรัก และชื่นชม มากกว่า
ที่จะให้ใครๆ มารังเกียจ ฯลฯ และท้ายที่สุดก็คือ “ตาย” ด้วยกันทุกคน 
ในความคิดของผม สิ่งที่ทำให้คนเราหลงมองว่า ตนเองสูงกว่า ดีกว่า หรือเด่นกว่าคนอื่นก็คือ “สิ่งปรุงแต่งภายนอก” ที่ขึ้นอยู่กับว่าใคร จะมีวิธีการหามาได้มากกว่า แล้วนำสิ่งเหล่านั้นมาแบ่งแยกคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ด้วยกันเอง ??? แต่สุดท้ายเมื่อ “ความตาย” มาเยือน ก็ไม่เห็นมีใครหน้าไหนสามารถที่จะเอาสิ่งที่สะสมเหล่านั้นไปได้ แม้แต่คนเดียว! 
ผมเริ่มมีความสงสัยอีกว่า “แล้วเราจะมีวิธีการอย่างไร ที่จะทำให้คนเรามองเห็นความเป็นจริงของชีวิต ทำให้ละซึ่งความเห็นแก่ตัว มุ่งทำแต่ความดี มีความรัก ความเมตตา พร้อมที่จะมอบความสุขให้แก่ผู้คนรอบข้างได้ตลอดเวลา” ผมจึงลองตั้งสมมุติฐานขึ้นมาว่า ถ้าเราลองมองชีวิตในแต่ละวัน ให้เหมือนกับวันสุดท้ายของชีวิต ล่ะ จะทำให้คนเราละซึ่งความเห็นแก่ตัว และหันกลับมาสร้างแต่สิ่งที่ดีได้หรือไม่ 
สมมุติว่าวันนี้เป็นวันที่คุณ หรือผม จะต้องตาย มีชีวิตเหลืออยู่เพียงวันสุดท้าย สิ่งที่คุณหรือผม ควรจะทำมากที่สุด คืออะไร?
- ควรจะโกรธ หรือ ควรจะให้อภัย
- ควรจะเห็นแก่ความสุขของตัวเอง หรือ ควรจะทำให้คนอื่นมีความสุข
- ควรจะเอาสิ่งต่างๆ มาเป็นของตัวให้มากที่สุดก่อนตาย หรือ ควรจะรู้จักปล่อยวาง และรู้จักที่จะเสียสละให้แก่ผู้อื่น
- ทำแต่สิ่งดีๆ ให้แก่คนรอบข้างมีความสุข ก่อนที่ตัวจะตาย หรือ ยังคงทำความชั่วต่อไปโดยไม่สนใจใคร
ผมคิดว่าคุณคงมีคำตอบ ของคำถามเหล่านี้อยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะมีมุมมองของชีวิตอย่างไร ในความคิดของผม ถ้าคนเราทุกคนหัดมองชีวิตในแต่ละวัน ให้เป็นเหมือนกับวันสุดท้ายของชีวิต ความอยากได้ อยากเป็น อยากมี ความโลภ-โกรธ-หลง และมัวเมาในสิ่งต่าง ๆ ก็จะทุเลาเบาบาง หรือหมดไป ทำให้เรามีชีวิตที่มีความสุข ทั้งกายและใจ จิตใจก็เบาสบาย ไม่ต้องแบกความทุกข์ตลอดเวลา เพราะรู้จักปล่อยวางมากขึ้น
หากคุณต้องการที่จะมองชีวิตให้ได้อย่างนี้ ผมมี เคล็ดลับง่ายๆ ให้คุณลองนำมาปฏิบัติดู สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือ คุณต้องเปลี่ยน “วิธีคิด” ของคุณเสียก่อน ดังคำกล่าวที่ว่า



ลองมาเปลี่ยนความคิด ด้วยการมองชีวิตในแต่ละวัน ให้เหมือนวันสุดท้ายของชีวิต
ดูสิครับ แล้วคุณจะรู้ว่าโลกนี้น่าอยู่มากขึ้นเพียงใด

คุณค่าภาษาไทย

เป็นคนไทยต้องรักภาษาไทย
รักษาไว้ให้อยู่ได้เนานานหนอ
อย่าทำร้ายลายลักษณ์ที่ถักทอ
ที่แม่พ่ออนุรักษ์ตระหนักคุณ

ภาษาไทยนั้นเป็นภาษาชาติ
อย่าประมาทใช้ผิดให้เคืองขุ่น
ครูท่านสอนสั่งไว้เลยนะคุณ
ความว้าวุ่นแห่งภาษาจะมากมี

ถ้าเมื่อใดไร้ภาษาที่มีอยู่
คงอดสูอายเขาไปทุกที่
และอาจสิ้นชาติไทยไปด้วยซี
เพราะวิถีชีวีที่เปลี่ยนไป

ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีค่า
มากยิ่งกว่านพรัตน์เป็นไหน ไหน
มวลหมู่แก้วถึงมีค่ากว่าสิ่งใด
คงมีได้แค่เพียงค่าราคาเงิน

แต่คุณค่าของภาษามีสูงส่ง
ช่วยดำรงความเป็นชาติไม่ขัดเขิน
เพราะภาษาแสดงลักษณ์จำหลักเกิน
กว่าค่าเงินตรา...แต่สง่าอยู่ที่ใจ

เป็นคนไทยต้องรักภาษาไทย
รักษาให้อยู่นานนานจะได้ไหม
อย่าทำลายภาพลักษณ์ความเป็นไทย
โดยที่ไม่รู้ค่าภาษาเอย ฯ