วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555

มองชีวิตในแต่ละวัน ให้เหมือนวันสุดท้ายของชีวิต


ในเช้าวันหนึ่ง ขณะที่กำลังขับรถเพื่อจะไปทำงานตามปกติ เหมือนเช่นเคย ระหว่างที่ขับรถอยู่นั้น ได้เห็นรถเก๋งคันหนึ่ง กำลังพยายามขับแซรถซาเล้งที่อยู่ด้านหน้า ซึ่งมีลุงแก่ๆ และเด็กตัวเล็กๆ นั่งอยู่ ที่กำลังพยายามปั่นอย่างเต็มกำลังเพื่อหาที่หลบให้พ้น ขณะที่คนขับรถคันนั้นมีลักษณะการขับที่เต็มไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด บีบแตรไล่ดังลั่น
พยามที่จะขับแซงแต่ก็ไม่สามารถไปได้ เพราะมีรถสวนมาตลอดเวลา ยิ่งที่ทำให้เขาโกรธมากขึ้น แต่ท้ายที่สุดก็สามารถขับรถปาด
หน้ารถซาเล้งไปได้ พร้อมกับบีบแตรเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ลักษณะการขับรถเป็นการขับกระชากรถอย่างแรง และรวดเร็ว เสียงล้อบดถนนดังลั่นโดยเขาไม่สนใจว่าจะมีรถในฝั่งตรงข้ามวิ่งสวนมาหรือไม่ สร้างความตื่นตระหนกแก่ผู้พบเห็นที่กำลังจับจ่าย
ซื้อของทั้งสองข้างทาง ขณะเดียวกันรถจักรยานยนต์ที่วิ่งสวนมา ต้องขับรถลงไหล่ทางอย่างกะทันหันเพื่อหลบให้พ้นจากรัศมีของรถคันนั้น พร้อมกับตะโกนด่าตามหลังด้วยความโกรธ และตกใจ
หลังจากเหตุการณ์นั้น ผมก็เกิดความสงสัยว่า “ทำไมคนขับรถถึงแสดงพฤติกรรมอย่างนั้นออกมา เขามีธุระเร่งด่วน และสำคัญมากกว่าชีวิตของคนๆ หนึ่ง ขนาดนั้นเชียวหรือ ?” ถึงแม้ว่าคุณลุง อาจจะมีฐานะทางสังคมดูด้อยกว่าคนอื่นที่ไม่มีรถขับ ไม่มีอาชีพที่เชิดหน้าชูตาเหมือนกับคนอื่น ต้องเก็บขยะ เพื่อหาเลี้ยงชีพตัวเองด้วยความสุจริต ทำไมเขาจึงทำเหมือนกับว่าชีวิตของคุณลุง และเด็กน้อยตัวเล็กๆ มีค่าน้อยกว่าตัวเขา! 
ผมมีความคิดว่าคนเราทุกคนไม่ว่าจะ มีอาชีพ , มีฐานะ , หรือ มีการศึกษาที่แตกต่างกัน แต่ในความเป็นจริงของชีวิต ทุกคนย่อมมี
คุณค่าในความเป็นมนุษย์ที่สามารถจะอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างเท่าเทียมกัน และที่สำคัญ คนเราหามีความแตกต่างกันในความ
เป็นจริงของชีวิตไม่ มนุษย์ทุกคนต้องกิน ต้องอยู่ ต้องหายใจ ต้องสืบเผ่าพันธุ์ของตน ต้องการให้คนอื่นรัก และชื่นชม มากกว่า
ที่จะให้ใครๆ มารังเกียจ ฯลฯ และท้ายที่สุดก็คือ “ตาย” ด้วยกันทุกคน 
ในความคิดของผม สิ่งที่ทำให้คนเราหลงมองว่า ตนเองสูงกว่า ดีกว่า หรือเด่นกว่าคนอื่นก็คือ “สิ่งปรุงแต่งภายนอก” ที่ขึ้นอยู่กับว่าใคร จะมีวิธีการหามาได้มากกว่า แล้วนำสิ่งเหล่านั้นมาแบ่งแยกคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ด้วยกันเอง ??? แต่สุดท้ายเมื่อ “ความตาย” มาเยือน ก็ไม่เห็นมีใครหน้าไหนสามารถที่จะเอาสิ่งที่สะสมเหล่านั้นไปได้ แม้แต่คนเดียว! 
ผมเริ่มมีความสงสัยอีกว่า “แล้วเราจะมีวิธีการอย่างไร ที่จะทำให้คนเรามองเห็นความเป็นจริงของชีวิต ทำให้ละซึ่งความเห็นแก่ตัว มุ่งทำแต่ความดี มีความรัก ความเมตตา พร้อมที่จะมอบความสุขให้แก่ผู้คนรอบข้างได้ตลอดเวลา” ผมจึงลองตั้งสมมุติฐานขึ้นมาว่า ถ้าเราลองมองชีวิตในแต่ละวัน ให้เหมือนกับวันสุดท้ายของชีวิต ล่ะ จะทำให้คนเราละซึ่งความเห็นแก่ตัว และหันกลับมาสร้างแต่สิ่งที่ดีได้หรือไม่ 
สมมุติว่าวันนี้เป็นวันที่คุณ หรือผม จะต้องตาย มีชีวิตเหลืออยู่เพียงวันสุดท้าย สิ่งที่คุณหรือผม ควรจะทำมากที่สุด คืออะไร?
- ควรจะโกรธ หรือ ควรจะให้อภัย
- ควรจะเห็นแก่ความสุขของตัวเอง หรือ ควรจะทำให้คนอื่นมีความสุข
- ควรจะเอาสิ่งต่างๆ มาเป็นของตัวให้มากที่สุดก่อนตาย หรือ ควรจะรู้จักปล่อยวาง และรู้จักที่จะเสียสละให้แก่ผู้อื่น
- ทำแต่สิ่งดีๆ ให้แก่คนรอบข้างมีความสุข ก่อนที่ตัวจะตาย หรือ ยังคงทำความชั่วต่อไปโดยไม่สนใจใคร
ผมคิดว่าคุณคงมีคำตอบ ของคำถามเหล่านี้อยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะมีมุมมองของชีวิตอย่างไร ในความคิดของผม ถ้าคนเราทุกคนหัดมองชีวิตในแต่ละวัน ให้เป็นเหมือนกับวันสุดท้ายของชีวิต ความอยากได้ อยากเป็น อยากมี ความโลภ-โกรธ-หลง และมัวเมาในสิ่งต่าง ๆ ก็จะทุเลาเบาบาง หรือหมดไป ทำให้เรามีชีวิตที่มีความสุข ทั้งกายและใจ จิตใจก็เบาสบาย ไม่ต้องแบกความทุกข์ตลอดเวลา เพราะรู้จักปล่อยวางมากขึ้น
หากคุณต้องการที่จะมองชีวิตให้ได้อย่างนี้ ผมมี เคล็ดลับง่ายๆ ให้คุณลองนำมาปฏิบัติดู สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือ คุณต้องเปลี่ยน “วิธีคิด” ของคุณเสียก่อน ดังคำกล่าวที่ว่า



ลองมาเปลี่ยนความคิด ด้วยการมองชีวิตในแต่ละวัน ให้เหมือนวันสุดท้ายของชีวิต
ดูสิครับ แล้วคุณจะรู้ว่าโลกนี้น่าอยู่มากขึ้นเพียงใด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น